[FIC] BE WITH THREE PRINCES : SASSY PRINCE (MINHYUNBIN) EP 1

BE WITH THREE PRINCES

No . 1 : SASSY PRINCE 
No . 2 : COLD-HEART PRINCE 
No . 3 : PRINCE ON TOP!


















BE WITH THREE PRINCES  


HYUNBIN X MINHYUN 





PRINCE No.1 : SASSY PRINCE


KWON HYUNBIN 





EP 1 




ค่ำคืนที่เต็มไปด้วยแสงสีของเมืองหลวง ความหรูหราและทันสมัยปรากฎอยู่ทั่วทุกแห่งในกรุงโซล ตามถนนเต็มไปด้วยภาพชีวิตที่แสนฟุ่มเฟือยของบรรดาผู้มีจะกิน อาหาร เสื้อผ้า และ เครื่องประดับราคาแพงกลายเป็นสิ่งที่ทุกคนพึงปรารถนา ค่านิยมด้านวัตถุกลายเป็นสิ่งที่ผูกติดกับคนในยุคสมัยนี้ แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้เลยว่ายิ่งมีความเจริญทางด้านวัตถุมากเท่าไหร่  จิตใจที่ปราถนาจะได้ครอบครองก็มีมากเท่านั้น ซึ่งการที่ได้ครอบครองวัตถุเหล่านั้นก็ต้องมีเงินและอำนาจ โดยศูนย์รวมอำนาจและอิทธิพลที่เป็นศูนย์กลางอำนาจของประเทศนี้ มาจากตระกูลทั้ง 3 ตระกูล 





ไม่ว่าจะด้านเศรษฐกิจ การเมือง การคมนาคม การแพทย์ ล้วนขับเคลื่อนโดยตระกูลทั้ง 3 ตระกูลนี้ โดยทั้ง 3 ตระกูลล้วนเป็นทั้งพันธมิตรและคู่แข่งกัน ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือ ตระกูล "ควอน" ตระกูลที่ทำธุรกิจศูนย์การค้าและอสังหาริมทรัพย์ที่มีส่วนแบ่งการตลาดเกินร้อยละแปดสิบของประเทศ พูดง่ายๆก็คือไม่ว่าจะเดินไปทางไหนก็ต้องเห็นสิ่งที่อยู่ในเครือธุรกิจของ "ควอนเทรดดิ้ง"





นอกจากความมั่งคั่งของตระกูล สิ่งที่คนภายนอกต่างจับตามองนั่นก็คือทายาทรุ่นต่อไปของแต่ละตระกูล โดยตระกูลควอนนั้นมีทายาทที่ถูกเลี้ยงดูมาอย่างเจ้าชายในเทพนิยาย เขามีรูปร่างหน้าตาที่ได้รับความสนใจเป็นอย่างมากจากสื่อ ยิ่งในสังคมของเหล่าเศรษฐีแล้ว แน่นอนว่าไม่มีใครที่ไม่รู้จักเขาคนนี้ . . 






"ควอน ฮยอนบิน ! " เสียงตะคอกของคุณผู้หญิงดังลั่นคฤหาสน์เมื่อหล่อนเห็นสภาพภายในบ้านซึ่งตอนนี้เต็มไปด้วย ขวดเหล้า เศษอาหาร เสื้อผ้าที่ถูกถอดออกทั้งของผู้หญิงและผู้ชาย แก้วน้ำที่แตกกระจาย รวมทั้งสภาพของลูกชายคนเดียวของเธอ "ควอน ฮยอนบิน" ที่ตอนนี้ทั้งตัวเต็มไปด้วยกลิ่นแอลกอฮอล์ อีกทั้งใบหน้ายังมีคราบลิปสติกปรากฎชัดเจน 




"แม่บอกกี่ครั้งแล้วว่าห้ามจัดปาร์ตี้ในบ้าน" ไม่รู้ว่านี่เป็นรอบที่เท่าไหร่แล้วที่เธอพูดประโยคนี้ใส่หน้าลูกชายสุดแสนไม่เอาไหนของเธอที่่เพิ่งจะเข้ามัธยมปลายได้ไม่นาน เขาจัดปาร์ตี้ในบ้านเกือบทุกวัน โดยชวนใครต่อใครก็ไม่รู้เข้ามาในบ้าน ทำให้ข้าวของหลายชิ้นสูญหาย คนรับใช้ก็มีงานมากขึ้น 





"โถ่ แม่ วัยรุ่นอ่ะ สนุกไม่ได้เลย ? บ้านเราออกจะใหญ่" ฮยอนบินตอบอย่างไม่ใส่ใจพลางเดินไปเปิดโทรทัศน์ดูอย่างสบายอารมณ์ ขยะที่ตกเต็มพื้นก็ไม่คิดจะเก็บมันขึ้นมา รอบข้างตัวเละเทะยังไงก็นั่งทับมันไปอย่างนั้น 





"สนุกได้ แต่ดูสภาพบ้านด้วย ลูกไม่ใช่เด็กๆแล้วนะ" เธอพูดด้วยน้ำเสียงหนักใจ ไม่คิดว่าลูกชายจะเป็นถึงขนาดนี้ ซกมก สกปรกสิ้นดี แบบนี้หรอที่จะเป็นทายาทที่ต้องดูแลพนักงานนับหมื่นชีวิต 




"เดี๋ยวพวกคนใช้ก็เก็บกวาดเอง แม่ซีเรียสไรเนี่ยครับ" เมื่อพูดจบเขาก็รีบเดินออกจากบริเวณนั้นทันที พร้อมกับเอามือปิดหูทั้งสองข้างเพื่อไม่ให้ได้ยินเสียงบ่นของมารดา ทางด้านคุณนายของตระกูลเองก็ได้แต่คิดว่าลูกชายตัวแสบของเธอคงต้องได้รับบทเรียนจากการกระทำอันเหลวแหลกนี้สักที 









HYUNBIN PART 








เมื่อลืมตาขึ้นผมก็เห็นเพียงความมืดมิด สีดำเป็นสิ่งเดียวที่มองเห็น "เชี่ยแล้ว ตากูบอดหรอ" แดดยามเช้าที่ปกติต้องเห็นนั้นไม่มีอย่างที่ควรจะเป็น ความอึดอัดและคับแคบภายในที่แห่งนี้ทำให้ผมต้องตั้งคำถามกับตัวเอง"ที่ไหนวะเนี่ย" เมื่อตัั้งสติได้ก็รู้แล้วว่าตัวเองอยู่ใต้กระโปรงรถที่กำลังเคลื่อนที่อย่างช้าๆ "ลักพาตัว" ใช่ . . . แบบนี้ต้องเป็นการลักพาตัวแน่ๆ 







"เห้ย เห้ย ! พวกมึงอ่ะ พวกโจรเรียกค่าไถ่ เห้ย เปิด" ผมตะโกนสุดเสียง พลางทุบกระโปรงรถด้วยเเรงทั้งหมดที่มี เวลาผ่านไปไม่นานรถก็หยุดเคลื่อนที่ เสียงประตูรถถูกเปิดและปิดลงพลางได้ยินเสียงฝีเท้าที่ดังก้องมาแต่ไกล 





"พวกโจรคงจะลงมาเปิดกระโปรงรถเพื่อจับเราไปเป็นตัวประกันแล้วเรียกเงินจากแม่ เราก็ต้องร้องไห้สุดชีวิตเพื่อให้แม่โอนเงินมาให้พวกมันสินะ" 





เมื่อกระโปรงรถถูกเปิดออก แดดภายนอกก็แยงตากูเลยครับ เอ้ย ไม่ใช่ ภาพเบื้องหน้าปรากฎให้เห็นชายสูงวัยที่คุ้นเคย "ถึงแล้วครับคุณหนู" เสียงนุ่มทุ้มที่แสนคุ้นเคยก็ดังชัดเข้ามาถึงสมอง 






"เลขาคุณแม่ !?" ผมเอ่ยอย่างตกใจตามสไตล์พระเอกซีรี่ย์เกาหลีเมื่อรู้ความจริงว่ามีหนอนบ่อนไส้อยู่ในตระกูล 





"ที่จริงแกรอจังหวะที่จะลักพาตัวคุณชายฮยอนบินคนนี้มาตลอดเลยสินะ หึ" ผมต้องรีบบอกความจริงนี้ให้คุณแม่รู้ให้เร็วที่สุด ผมรีบหาโทรศัพท์แล้วโทรหาแม่ทันที






ตู๊ด ตู๊ด ติ๊ด 






"แม่ครับ แม่ ช่วยผมด้วย ผมโดนเลขาแม่ลักพาตัวมา แม่ต้องเชื่อผมนะครับ" เมื่อต่อสายได้ผมก็รีบเล่าเรื่องอันน่าหวาดผวาที่ผมเพิ่งจะเจอมากับตัวให้แม่ฟังอย่างรวดเร็ว ไม่น่าเชื่อว่าผมจะโดนลักพาตัวจริงๆ ชีวิตของผมคอมพลีทแล้ว เกิดมารวยทั้งทีก็ต้องถูกลักพาตัวเป็นธรรมดา 





"แล้วไงต่อ" แม่ถามอย่างไม่ใส่ใจ น้ำเสียงเยือกเย็นของแม่ทำให้ผมรู้สึกโมโหขึ้นมา ผมจะอดข้าวตายอยู่แล้ว แม่ไม่ทุกข์ร้อนอะไรเลยหรอ ผมลูกรักของแม่ไง จำไม่ได้หรอ  






"แล้วไงต่ออ่ะแม่ ผมอยู่ที่ไหนไม่รู้เนี่ย ที่นี่น่ากลัวมาก แม่รีบส่งคนมาช่วยผมเร็ว !" ผมเริ่มตะคอกเพื่่อทำให้ทุกอย่างมันดูโอเวอร์ รอบตัวของผมตอนนี้ดูยังไงก็บ้านนอกชัดๆ แถวนี้แทบไม่มีคนอยู่เลย มีแต่ทุ่งหญ้ากับถนนพุพัง สิ่งที่ผมเห็นเป็นสิ่งที่แปลกตาสำหรับผม แต่แน่นอนว่าผมไม่ชอบมัน





"ฉันเป็นคนบอกให้ลักพาตัวแกเองแหละ" เมื่อแม่พูดจบ ผมยังต้องทวนคำพดนั้นอีกรอบในสมอง เดี๋ยวนะ . . ผมไม่เข้าใจ สรุปแม่รู้เรื่องทั้งหมด แม่รู้มาตั้งแต่แรก . . . 





"อะไรนะแม่" 





"ฉันสั่งให้เลขาเอาแกไปปล่อย เพราะฉันทนกับพฤติกรรมของแกไม่ได้แล้ว ควอน ฮยอนบิน" คำตอบของแม่ทำให้ผมแทบระเบิด แม่จะตัดหางปล่อยวัดลูกคนนี้ไม่ได้ 





"แม่เอาจริงดิ ?" ผมถามด้วยน้ำเสียงอ้อนวอนสุดชีวิต 





"แม่เคยพูดเล่นหรอ แล้วก็ไม่ต้องหาทางกลับเองนะ เพราะเดี๋ยวฉันก็ส่งไปใหม่" น้ำเสียงที่จริงจังทำให้ผมแทบจะน้ำตาแตกแต่ก็ได้แต่คิดในแง่ดีว่าในที่สุดคงจะมีทางรอดจากสถานการณ์นี้





"ฮ่าๆ งี้ก็ดีสิ ผมจะได้ไม่ต้องไปโรงเรียน" ผมแสร้งพูดติดตลกเผื่อจะเป็นมุกให้แม่ส่งกลับโซล 






"แม่สมัครเรียนในโรงเรียนที่นั่นให้แล้ว อีกอย่างบัตรเครดิตของแกถูกระงับทุกใบ" ชีวิตผมจบสิ้นแล้วเมื่อแม่พูดจบ บัตรเครดิตเป็นสิ่งที่ผมรักและผูกพันมากที่สุดในชีวิต แม่พรากบัตรเครดิตไปจากผมได้ยังไง แม่ไม่เห็นใจผมบ้างเลยหรอ 







"อยู่ที่นั่นไปจนกว่าจะสำนึก"






ตี๊ด






"นี่กระเป๋าเสื้อผ้า กับ เงินเอาไว้ใช้ส่วนตัวครับ" เลขาจัดการยกกระเป๋าออกมาจากรถ 




. . . เดี๋ยวนะ แล้วทำไมให้กูอยู่ในกระโปรงรถ แล้วกระเป๋าเอาไว้ในรถ 





กระเป๋าเดินทางใบเดียวถูกลากมาเบื้องหน้าผม พร้อมกับซองใส่เงิน ผมหยิบมันมาก่อนจะนับมันอย่างละเอียด





"แค่ล้านวอนเนี่ยนะ ต้องใช้กี่วัน แล้วนี่จะนอนที่ไหน" ผมพูดอย่างหงุดหงิด เงินแค่ล้านวอนแล้วต้องอยู่ถึงเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ แถมไม่บอกอะไรเลย แล้วผมจะไปอยู่ที่ไหน อะไรยังไง ตอนนี้ในหัวมีแต่คำถามเต็มไปหมด 





"อ่า เรื่องนั้น คุณผู้หญิงบอกว่าให้หาห้องเช่าอยู่เองครับ" คำตอบและเสียงเนิบๆของเลขาทำให้ผมรู้สึกโมโหเข้าไปใหญ่แล้ว นี่มันอะไรกัน เขาไม่สงสารผมเลยหรอ ผมยังเป็นเด็กที่ต้องได้รับการดูแลอย่างใส่ใจจากคนรอบข้างนะเห้ย ไม่คิดจะช่วยกันบ้างเลย ?





"หายังไง แถวนี้ไม่มีบ้านคนด้วยซ้ำ แล้วห้องเช่ามันจะมีมั้ย" 





"ผมก็ไม่รู้ครับ หมดหน้าที่ผมแล้ว ผมลานะครับ" เลขาเอ่ยลาพร้อมเดินเข้าไปนั่งในตำแหน่งคนขับก่อนจะออกรถจากไปทิ้งผมให้ยืนบื้ออยู่ตรงนี้เพียงลำพัง 







.
.
.
.



"แล้วกูจะอยู่ยังไงวะเนี่ย"













"โว้ย ทำไมมันร้อนแบบนี้วะเนี่ย" ท่ามกลางแสงแดดย่ามบ่าย ยังมีเด็กหนุ่มหน้าตาดีผิดหูผิดตาสำหรับคนในระแวกนี้เดินลากกระเป๋าเดินทางไปมาอยู่ลำพัง สีหน้าของเขาที่ไม่ค่อยจะสู้ดีเพราะต้องเจอกับแสงแดดที่ปกติไม่เคยได้สัมผัส เสียงบ่นอุบอิบกับตัวเองมีมาตลอดการเดินบนถนนลูกรัง กระเป๋าลากก็ติดหลุมบ่อยครั้งจนเจ้าตัวหงุดหงิด  








"แท็กซี่ก็ไม่มี. . บ้านนอกของแท้" ร่างสูงต้องหงุดหงิดเมื่อรู้ว่าในที่แห่งนี้มีเพียงรถโดยสารประจำทางที่จะวิ่งชั่วโมงละคันเท่านั้น การเดินทางของคนในพื้นที่นี้คือการเดิน ตอนนี้เขารู้สึกคิดถึงบ้านมากๆ แต่ถ้าจะให้ปรับปรุงตัว บอกเลยว่าคงยังทำไม่ได้ เพราะนิสัยของเขามันทำบ่อยจนกลายเป็นสันดาน 






"ห้องพักให้เช่า" 

เมื่อเดินมาสองชั่วโมงกว่าๆ ก็เจออพาร์ทเม็นต์เก่าๆที่เปิดให้เช่า สภาพที่เก่าราวกับหลุดออกมาจากหนังสงครามโลกนั้นทำให้ร่างสูงไม่อยากจะเช่านักแต่ก็ไม่มีทางเลือกเพราะไม่รู้ว่าถ้าเดินหาต่อไปจะมีห้องพักให้อยู่อีกมั้ย 




"คือจะมาเช่าอะครับ" เมื่อเดินเข้าไปก็เจอผู้หญิงสูงอายุท่าทางใจดีนั่งอยู่หน้าเค้าท์เตอร์ เธอทักทายเขาอย่างเป็นมิตร ก่อนจะแนะนำห้องขนาดต่างๆภายในอพาร์ตเมนท์ แน่นอนร่างสูงเลือกห้องที่ใหญ่ที่สุดอย่างไม่ลังเล







"ดูห้องก่อนมั้ยจ๊ะ" ร่างสูงพยักหน้าก่อนจะเดินตามหล่อนไป เขาเดินตามไปเรื่อยๆจนถึงชั้นบนสุดซึ่งก็คือชั้น 4 หล่อนจัดการไขกุญแจก่อนจะเปิดประตูเพื่อให้เด็กหนุ่มเข้าไปดูห้อง 







"เชี่ย เล็กแบบนี้ใครจะอยู่ได้เนี่ยป้า" ฮยอนบินคิดในใจ ภาพเบื้องหน้าเขาคือห้องขนาด 30 ตารางวา แน่นอนว่ามันไม่เล็กสำหรับคนทั่วไปแต่สำหรับเขาเเล้วมันคับแคบจนไม่อยากจินตนาการว่าต้องอยู่ในที่แห่งนี้จริงๆ 




"มีห้องที่ใหญ่กว่านี้มั้ยครับ" ร่างสูงเอ่ยถามอีกครั้งเพื่อให้แน่ใจว่านี่คือห้องที่ใหญ่ที่สุดแล้ว 








"ไม่มีแล้วจ้า" หล่อนตอบ









"งั้นผมเช่าห้องนี้ละกัน" ในเมื่อนี่คือตัวเลือกที่ดีที่สุด เขาก็คงต้องเลือกมันแล้วอยู่กับมันให้ได้ 








"ต้องอยู่ไปถึงเมื่อไหร่วะเนี่ย"












.
.



เช้าที่น่าหดหู่วันแรกได้เริ่มต้นขึ้นสำหรับทายาทเพียงคนเดียวของควอนเทรดดิ้ง เมื่อวานหลังจากที่เขาได้ห้องพักแล้ว เขาก็จัดการเปิดกระเป๋าเดินทางเพื่อดูว่าแม่ได้ให้อะไรเขาไว้ประทังชีวิตบ้างนอกจากเงินล้านวอนในซอง ข้างในนั้นมีหนังสือคู่มือนักเรียนใหม่ของโรงเรียน XX เครื่องแบบนักเรียน และก็ของใช้ส่วนตัวทั่วไป ในใจก็นึกหงุดหงิดเรื่องเสื้อผ้าแต่ละตัวที่มีให้ อยากจะรู้ว่าแม่ของตนสั่งให้ใครเป็นคนจัดกระเป๋าเพราะมีแต่เสื้อผ้าที่เขาไม่ชอบทั้งนั้น นอกจากเสื้อผ้าแล้วเขายังต้องเซ็งที่ในห้องไม่มีสิ่งอำนวยความสะดวกอะไรเลยนอกจากเฟอร์นิเจอร์ 








"เว้ย โรงเรียนทำไมมันหายากแบบนี้" เป็นเพราะตลอดทั้งคืนร่างสูงนอนไม่ค่อยหลับเพราะไม่ชินกับสภาพแวดล้อม ทำให้เช้านี้เขารู้สึกไม่สบายตัวเลยสักนิด ขาก็ปวดไม่หมด แต่ก็ต้องกลั้นใจไปโรงเรียน เพราะคิดว่าแม่ของเขาคงให้คนมาตรวจสอบพฤติกรรมอยู่ห่างๆเป็นแน่ 







เมื่อเดินไปเรื่อยๆ ตามคำบอกของคนระแวกนั้นจนเจอโรงเรียน โรงเรียนนี้มีขนาดเล็กมาก ดูเล็กกว่าบ้านเขาด้วยซ้ำไป รั้วโรงเรียนก็ขึ้นสนิมอย่างกับหนังสยองขวัญ 







"นักเรียนใหม่ ควอน ฮยอนบินใช่มั้ย" ยังไม่ทันได้สำรวจอะไรเพิ่มเติมก็มีเสียงเรียกชื่อเขาดังขึ้น ซึ่งแน่นอนว่ามันเป็นเสียงของอาจารย์ในโรงเรียน 








"ครับ" ฮยอนบินพยักหน้า







"ตามครูมา" อาจารย์คนนี้เดินนำทางไปยังห้องเรียนให้เขา เมื่อถึงห้องเรียนทุกสายตาก็ต่างจ้องมองมาที่เขาอย่างไม่ว่างตา หน้าตาผิวพรรณที่ถูกดูแลอย่างดีโดยคลีนิคย่านอัพกูจองนั้นทำให้ผู้หญิงในห้องต่างตะลึงในความใส ส่วนสูงก็เป็นที่น่าอิจฉาของเหล่าเด็กผู้ชายในห้อง 








"สวัสดีครับ ผม ควอน ฮยอนบิน มาจากโซล ฝากเนื้อฝากตัวด้วยครับ" เมื่อร่างสูงพูดจบก็เดินไปนั่งยังโต๊ะที่ว่างอยู่ จากอารมณ์ห่อเหี่ยวในตอนแรก อยู่ดีๆก็รู้สึกดีขึ้นมาซะงั้น










"ฮ่าๆ หลงเสน่ห์กันหมดแล้วใช่มั้ย แหม่ คนมันโซแดมฮอตครับ"











HYUNBIN PART 









ชีวิตวันแรกในรั้วโรงเรียนผ่านไปอย่างรวดเร็ว ทุกคนในห้องดีกับผมมากจนความรู้สึกแย่ๆมันน้อยลง แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะรู้สึกดีร้อยเปอร์เซ็นต์ หลังโรงเรียนเลิกผมไปเที่ยวเล่นกับพวกเพื่อนผู้ชายจนตอนนี้ก็เวลาประมาณหนึ่งทุ่มแล้ว ว่าแต่ ... 







"ตอนนี้กูอยู่ที่ไหนเนี่ย" 






หลังจากที่เตะบอลกับพวกผู้ชายเสร็จผมก็แยกตัวออกมา ผมคิดว่าผมเดินมาถูกทางที่จะกลับอพาตเม้นท์ แต่ยิ่งเดินมันก็ยิ่งมืด แสงไฟแถวนี้ก็เริ่มไม่มีให้เห็น อากาศก็เริ่มเย็นขึ้นทุกที 







"น่ากลัวจังฟระ" ผมค่อยๆเดินช้าลง แล้วมองไปรอบๆที่ตอนนี้ไร้ผู้คนและบ้านเรือน มีเพียงทุ่งหญ้ารกร้าง กับ ถนนลูกรังเท่านั้น ความรู้สึกกลัวเริ่มก่อตัวขึ้นในใจอย่างช่วยไม่ได้ ผมตัดสินใจหันหลังกลับแล้ววิ่งไปตามทางเดินที่มาในตอนแรก 







แต่ในขณะที่ผมรีบวิ่งนั่นเอง ก็มีมอเตอร์ไซต์คันหนึ่งขับมาด้วยความเร็ว ผมที่ไม่ทันระวังจึงได้แต่คิดว่าคงตาย ไม่ก็ต้องพิการเป็นแน่ 








โครม !








ในวินาทีชีวิต รถมอเตอร์ไซต์คันนี้หักหลบแล้วล้มลง ดีที่ไม่ไปชนกับอะไร ส่วนผมนั้นปลอดภัยดี ผมรีบวิ่งไปหาคนขับที่ตอนนี้นอนแน่นิ่งอยู่บนถนน ขาข้างขวาของคนๆนี้เต็มไปด้วยเลือด แต่ส่วนอื่นดูเผินๆไม่น่าจะเป็นอะไร 







"คุณครับ" ผมเขย่าตัวของคนที่ล้มลงนอนอยู่บนถนนเพื่อให้เขาได้สติ ก่อนที่จะพยุงเขาขึ้นมา เมื่ออีกฝ่ายมีสติเขาดูจะตกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นไม่น้อย ผมเล่าเหตุการณ์ทั้งหมดให้เขาฟัง แล้วยอมรับว่าผมเป็นคนประมาทเอง เขาก็ไม่เอาเรื่องเพราะมอเตอร์ไซต์ไม่ได้เป็นอะไรมาก ทั้งๆที่ผมอยากรับผิดชอบกับสิ่งที่เกิดขึ้น เขาพยายามบอกว่าไม่เป็นไรก่อนจะกระเสือกกระสนเดินไปเพื่อที่จะขี่มอเตอร์ไซต์กลับ แต่ก็ต้องล้มลงทันทีเพียงเดินไปได้ไม่กี่ก้าว   







"โอ้ย" เขาร้องอย่างเจ็บปวด แผลที่ขาของเขาใหญ่มากจนผมรู้สึกผิด








"เดินไม่ได้ จะไปฝืนมันทำไมครับ" ผมเดินไปหาเขาแล้วนั่งลงหันหลังก่อนจะสั่งให้คนๆนี้เอามือทั้งสองข้างมาคล้องคอ ก่อนที่จะช้อนขาทั้งสองข้างของเขาขึ้นมาอย่างระมัดระวัง





"แต่ว่า-"










"ไปหาหมอก่อนดีกว่า มอเตอร์ไซต์ทิ้งมันไว้ตรงนี้แหละ" ยังไม่ทันที่อีกฝ่ายจะพูด ผมก็พูดขัดขึ้นมาก่อน ผมไม่ชอบติดหนี้ใครเท่าไหร่ ในเมื่อผมเป็นต้นเหตุผมก็ควรที่จะรับผิดชอบในถึงที่สุด 









"รู้ทางใช่มั้ย เดี๋ยวพาไปส่ง"










TBC
TALK :
เฮียบินจะไปส่งคนอื่นทั้งๆที่ตัวเองก็หลงทาง 555555555555555
ถ้าอยากให้แต่งต่อก็เมนชั่นบอกเน้อ

ความคิดเห็น

แสดงความคิดเห็น